พัฒนาการของมหาวิทยาลัยมหาสารคามกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ดินแดนอีสาน ดินแดนอีสานได้ปรากฎมีความสัมพันธ์กับรัฐศูนย์กลางของคนไทยที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มาตามลำดับ ตั้งแต่สมัยอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ โดยภายหลังที่เมืองสุวรรณภูมิแยกจากการขึ้นตรงต่อจำปาศักดิ์มาขึ้นกับอยุธยา
ซึ่งหัวเมืองต่างๆในอีสานต่างขึ้นกับสุวรรณภูมิต่อหนึ่ง
ภายหลังได้เปลี่ยนมาขึ้นกับโคราช
และต่อมาจึงได้ให้ทุกหัวเมืองของอีสานขึ้นกับกรุงเทพฯ
หลังจากเกิดกรณีเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2369-2371)
แต่ความสัมพันธ์ของหัวเมืองอีสานกับศูนย์กลางของรัฐไทย
อยู่ในลักษณะเมืองขึ้นที่เพียงส่งส่วยบรรณาการและป้องกันภัยจากญวนเท่านั้น
กระทั่งความสำคัญของดินแดนและหัวเมืองอีสานได้ปรากฎความสำคัญชัดเจนในช่วงที่กระแสการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองต่อหัวเมืองแถบนี้ใหม่
รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษา
ทั้งนี้เพื่อให้คนในรัฐสยามสามารถอ่าน เขียน
พูดและเรียนมาตรฐานความรู้อย่างเดียวกัน
เพื่อสร้างความเป็น รัฐชาติ (Nation State) ขึ้นมา
ครั้นยุคจากการล่าอาณานิคมทางดินแดนสิ้นสุดลง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองโลกได้แบ่งขั้วการเมืองออกไปอีก
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวประเทศไทยได้มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอันเกิดจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
แผนพัฒนาประเทศทั้งทางการและไม่ทางการได้ทะยอยออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลตระหนักถึงและเข้าใจว่าการพัฒนาประเทศนั้น
เครื่องมือที่สำคัญคือคน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญ
ดังนั้นปัจจัยที่นำมาพัฒนาคนที่สำคัญคือให้ การศึกษา
จึงเป็นลงทุนที่เร่งด่วน
รัฐบาลในยุคต่างๆได้ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่องหนักเบาตามสถานการณ์และความสนใจของผู้นำในช่วงต่างๆ เมื่อพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์มหาวิทยามหาสารคามนั้นไม่ได้ยืนหยัดอยู่เพียงลำพัง
แต่ได้มีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชุมชนและสังคมตลอดช่วงเวลา
ภาพของมหาวิทยาลัยในช่วงต่างๆ จึงสามารถสื่อสะท้อนความคิด
โลกทัศน์ ชีวทัศน์ของคนในแต่ละช่วงเวลาได้พอสมควร
รวมทั้งมหาวิทยาลัยยังเป็นผลผลิตของท้องถิ่นและชุมชน
ซึ่งได้มีการสร้างสมมาหลายช่วงอายุคน
โดยได้ตกผลึกจากการสั่งสมของสิ่งที่เรียกว่า ตัวตน
และได้เป็นลักษณะเฉพาะของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร แรกเริ่มก่อนที่จะมีการก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง
นั้นวงการศึกษา
ของไทยประสบปัญหาในความล้าหลังของการศึกษาประชาชนส่วนใหญ่ยังมีมาตรฐานการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ต่ำ,โดยเฉพาะบุคคลที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้นั้นยังมีข้อจำกัดหลายประการ
และยังประสบปัญหาอื่นอยู่เนืองๆ
โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งโรงเรียน
ซึ่งต้องประสบกับการย้ายที่ตั้งอยู่เสมอ เช่น ในพ.ศ. 2484
เมื่อรัฐบาลได้สถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม
ใช้พื้นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งเดิม
จึงจำเป็นต้องย้ายสถานที่ตั้งมาที่ใหม่
ภายหลังได้มีผู้ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาท่านหนึ่งจึงได้พยายามแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อก่อตั้งกิจการวิชาครู
ให้เป็นหลักฐานมั่นคงสืบไป คือ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
ซึ่งมีความกังวลต่อสภาพการณ์ดังกล่าว
จนสามารถมาได้พื้นที่บริเวณถนนประสานมิตร ริมคลองแสนแสบ
ซึ่งเดิมพื้นที่ ดังกล่าวก่อนนั้นเคยใช้เป็นฟาร์มเลี้ยงโค
เพราะในระหว่างสงครามไม่มีนมเนยเข้ามาจากต่างประเทศ
ท่านจึงได้ทำหนังสือราชการขอซื้อที่จากกระทรวงเกษตรทันที
ในราคาวาละ 38 บาท
รวมทั้งขอซื้อจากเจ้าของรายอื่นใกล้เคียงเพิ่มเติม
จากนั้นจึงได้มีการก่อสร้างอาคารและจัดให้มีการประชุมกัน
ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2492 เพื่อกำหนดนัดหมายทำความเข้าใจ
เรื่องคำสั่งเปิด โรงเรียน
และแต่งตั้งคณะกรรมการและระเบียบ ลงวันที่ 28 เมษายน 2492
จึงได้กำหนดวันดังกล่าวเป็นวันก่อตั้งโรงเรียน
และมีการพิจารณาตั้งชื่อชั่วคราวว่า '
โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงที่ถนนประสานมิตร อำเภอพระโขนง
จังหวัดพระนคร' วิทยาลัยวิชาการศึกษา ต่อมาวงการศึกษาได้ประสบปัญหาเข้ามาอีกทั้งภาวะการขาดแคลนครูเป็นอันมากและวุฒิครูสูงที่สุดคือวุฒิป.ม.(ประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม)
ซึ่งเทียบเท่ากับอนุปริญญาเท่านั้น
ทำให้เกิดความล้าหลังในอาชีพครู, อีกทั้งครู ป.ม.
บางคนเมื่อศึกษาเพิ่มเติมสูงขึ้นได้ปริญญาทางด้านอื่นแล้วต่างลาออกไปประกอบอาชีพใหม่ที่เข้าใจว่ามีความก้าวหน้ามากกว่า
ผู้ใหญ่ในวงการศึกษาจึงได้มีการปรึกษาหารือและดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาตามลำดับ
แต่ความเข้าใจในเวลานั้นของผู้เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะบุคคลในพรรครัฐบาล
จึงต้องใช้ความพยามยามอย่างมาก
ดร. สาโรช บัวศรี
เป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เข้าชี้แจงให้คณะรัฐบาลเข้าใจถึงเหตุและผลที่จะดำเนินการและสิ่งที่เกิดขึ้น
หากให้สามารถเปิดสอนครูถึงระดับปริญญา
และสามารถชี้แจงจนเข้าใจร่วมกันได้
ซึ่งในที่สุดที่ประชุมจึงได้มีมติยอมรับ
และผ่านพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาออกมา
แต่กว่าที่จะได้มีการยอมรับนั้นค่อนข้างพบอุปสรรคพอสมควร
ตอนนั้นในหมู่ประชาชนความคิดที่ว่าจะให้ครูเรียนถึงปริญญายังไม่มี
ดังนั้นการเสนอให้ครูมีการศึกษาถึงระดับปริญญาตรีเป็นของที่แปลกมาก
อีกประการหนึ่งนั้นจะให้สถาบันการศึกษาระดับวิทยาลัยประสาทปริญญานี้ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่
ฉะนั้นพอกฎหมายไปถึงพรรคเสรีมนังคศิลาแล้ว
ผมก็ต้องไปชี้แจงหนักหน่วงมาก
เพราะท่านผู้แทนสมัยโน้นเขาไม่เข้าใจเลย
เป็นวิทยาลัยอะไรให้ปริญญา? เป็นครู,
เป็นศึกษาธิการอำเภอจะเอาปริญญาเชียวหรือ?
ผมก็ต้องชี้แจงมากมาย
แต่พอมาถึงประเด็นที่ว่า
วิทยาลัยจะประสาทปริญญาได้นี่ไม่เคยเห็นมีแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น
เป็นแค่วิทยาลัยจะมาประสาทปริญญาไม่เห็นด้วย
เป็นไปไม่ได้ ผมก็ออกไปชี้แจงอีก
แต่เขาก็ไม่ฟังเสียง
เป็นวิทยาลัยจะมาประสาทปริญญาได้อย่างไร
ตอนนั้นผมก็หนักใจมาก แต่ก็กัดฟันชี้แจงต่อไปอีก
แล้วก็เป็นการบังเอิญมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในที่ประชุมและผมทราบลูกของท่านเรียนอยู่ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐ
California กำลังทำปริญญาเอกด้วย ทำไมทำได้ล่ะ
เขาจึงค่อยเงียบเสียงลง
(ศาสตราจารย์ ดร. สาโรช บัวศรี
ปราชญ์ผู้ทรงศีล . 2531:63 64.) อย่างไรก็ตามในที่สุดก็สามารถตราพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้สำเร็จ
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงลงพระปรมาภิไธย
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2497
ระหว่างนั้นอาจารย์บุญถิ่น อัตถากร
อธิบดีกรมการฝึกหัดครู (พ.ศ.2500 2513)
และเป็นคณะกรรมการร่วมของโครงการพัฒนาการศึกษาด้วย
ซึ่งให้ความสำคัญกับงานฝึกหัดครูอย่างมาก
จากแนวคิดในการดำเนินการขยายการฝึกหัดครูระดับปริญญาไปสู่ส่วนภูมิภาคนั้น
จึงได้มีการขยายวิทยาลัยวิชาการศึกษา
ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
และมีความคล้ายคลึงทั้งในที่มา
จุดประสงค์และการดำเนินการเพื่อผลิตบุคลากรวิชาชีพครู
เหมือนกับกรมการฝึกหัดครู โดยแนวคิดของอาจารย์บุญถิ่น
อัตถากรนั้น
ต้องการใช้การศึกษาพัฒนาชุมชนในชนบท
โดยต้องรีบผลิตครูที่มีคุณภาพและจำนวนมากพอเพียงออกไปเป็นผู้นำ
โดยการศึกษาฝึกหัดครูจะต้องเป็นขั้นๆโดยลำดับจนถึงขั้นปริญญา
ขณะเดียวกันก็ค่อยลดการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรลงจนเลิกไปในที่สุด
และผลิตครูขั้นปริญญาเพิ่มขึ้นๆ และเมื่อถึงโอกาสอันสมควร,
สถานศึกษาฝึกหัดครู ,
สถานศึกษาอาชีวศึกษาและสถาบันขั้นปริญญาต่างๆ
ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง
ก็จะรวมกันเป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาค (กรมการฝึกหัดครู
กระทรวงศึกษาธิการ. 2535:139.)
จากนั้นจึงได้มีการขยายวิทยาเขตไปสู่ภาคต่างๆทุกภาค
โดยได้เปิดสอนแห่งเดียวในแต่ละภาค คือ
ภาคเหนือเปิดที่พิษณุโลก (25 มกราคม 2510)
ภาคใต้ที่สงขลา (1 ตุลาคม 2511) ภาคตะวันออกที่ชลบุรี (8
กรกฎาคม 2498) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มหาสารคาม
และกรุงเทพฯที่บางเขน (27 มีนาคม 2512)
วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม บุคคลที่มีคุณูปการต่อวงการศึกษาไทยท่านหนึ่ง
คืออาจารย์บุญถิ่น อัตถากร อดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครู
(พ.ศ. 2500 - 2513)
อีกทั้งมีภูมิลำเนากำเนิดอยู่ที่จังหวัดมหาสารคามซึ่งได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาตอนนั้นว่า
ต้องการใช้การศึกษาพัฒนาชุมชนในชนบท
โดยต้องรีบผลิตครูที่มีคุณภาพและจำนวนมากพอเพียงออกไปเป็นผู้นำ
โดยการศึกษาฝึกหัดครูจะต้องเป็นขั้นๆ
โดยลำดับจนถึงขั้นปริญญา
ขณะเดียวกันก็ค่อยลดการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรลงจนเลิกไปในที่สุด
และผลิตครูขั้นปริญญาเพิ่มขึ้นๆ และเมื่อถึงโอกาสอันสมควร,
สถานศึกษาฝึกหัดครู , สถานศึกษาอาชีวศึกษา
และสถาบันขั้นปริญญาต่างๆ
ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง
ก็จะรวมกันเป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาค ทั้งนี้อาจารย์บุญถิ่น
อัตถากร
ได้มีแนวคิดและเหตุผลที่เลือกจังหวัดมหาสารคามให้เป็นที่ตั้งของวิทยาลัย
ครูปริญญา ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นว่า
ทางภาคเหนือนั้น เดิมเราตั้งใจจะเปิดที่เชียงใหม่ก่อน
แต่เมื่อมีมหาวิทยาลัยตั้งขึ้นในระยะที่เรากำลังดำเนินการอยู่
จึงเปิดที่พิษณุโลก
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นขั้นแรกเตรียมจะเปิดที่อุบลหรืออุดรธานี
แต่ในระยะนั้นแถบชายแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่ค่อยเรียบร้อยจึงเปิดที่มหาสารคาม
ในภาคใต้และภาคกลางก็จะเปิดหลายแห่ง
แต่เนื่องจากกำลังคนมีจำกัด
จึงเปิดเพียงสองแห่งไปตามกำลังคนที่มีอยู่ในขณะนั้น
คือที่สงขลาและบางเขน"
(กรมการฝึกหัดครู
กระทรวงศึกษาธิการ.2535: 137)
ในส่วนของวิทยาลัยวิชาการศึกษา
มหาสารคามในช่วงระยะแรกของการก่อตั้งนั้นต้องประสบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานอันเกิด
จากความไม่พร้อมในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น อาคารสถานที่
บุคลากร อุปกรณ์ครุภัณฑ์ประกอบการเรียนการสอน
จึงต้องอาศัยวิทยาลัยครูมหาสารคามในเบื้องต้นเกือบทั้งหมดที่กล่าวมาช่วยพยุงและเป็นพี่เลี้ยงในช่วงก่อร่างสร้างตัวซึ่งปัญหาดังกล่าว วิทยาลัยวิชาการศึกษาอื่นที่ไปตั้งในแต่ละภูมิภาคต่างประสบเช่นกันและแก้ปัญหาดังที่กล่าวมา หลักสูตรที่เปิดสอนในปีการศึกษาแรก พ.ศ. 2511 มี 2
วิชาเอกคือ วิชาเอกภาษาอังกฤษและชีววิทยา
โดยสามารถเปิดรับนิสิตได้ทั้งสิ้น 134 คน
ซึ่งนิสิตที่มาเรียนในระยะแรก ปีการศึกษา 2511 2515
เป็นนิสิต
ที่คัดเลือกจากนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีจากวิทยาลัยครูทั่วประเทศมาศึกษาหลักสูตรปริญญาตรี
2 ปี
ในปีการศึกษา 2512
อาคารของวิทยาลัยได้สร้างเสร็จและสามารถเปิดใช้ได้ คือ
อาคารเรียน 1 ,หอสมุด, หอศิลป์ ,โรงอาหาร , หอพักชาย
และหอพักหญิง จากนั้นวิทยาลัยจึงได้มีการพัฒนามาตามลำดับ
โดยในปี 2514
ได้มีการดำเนินการขอพื้นที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ราช
พัสดุ ของกองทัพ อากาศ
ซึ่งได้ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามบินจากนั้นจึงได้มีการก่อสร้างอาคารเรียนและหอพักเพิ่มเติมขึ้นมา
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วิทยาเขตมหาสารคาม 
ณ วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2517
ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
พ.ศ. 2517 ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 91 ตอนที่ 112
ดังนั้น ในวันที่ 29 มิถุนายน 2517
โดยรวมวิทยาลัยเขตทั้งหมดเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
แล้วโอนไปสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย
และเรียกชื่อมหาวิทยาลัยและชื่อวิทยาเขตตามสถานที่ตั้งของวิทยาเขตต่อท้าย
ยกเว้นวิทยาเขตพระนครให้เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
บางเขน
ก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้นั้น
ทางวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2512 ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่ศาสตราจารย์ ดร. สุดใจ
เหล่าสุนทร เข้าดำรงตำแหน่งอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษา
และเห็นว่าการบริหารงานของวิทยาลัยนั้นขาดความคล่องตัวอยู่มาก
เนื่องด้วยข้อจำกัดหลายประการอันจะเป็นปัญหาระยะยาวในการขยายผลด้านการศึกษาในอนาคตต่อไป
ท่านจึงได้ร่างพระราชบัญญัติเพื่อขอยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยต่อสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา
โดยในระหว่างนั้น ศาสตราจารย์ ดร. สุดใจ เหล่าสุนทร
ได้ออกเอกสารที่ช่วงนั้นเรียกว่า เอกสารปกขาว
เพื่อชี้แจงหลักการและเหตุผลดังกล่าวแก่ผู้ที่สนใจรับทราบ
โดยคำปรารภของเอกสารชิ้นนี้ ได้กล่าวว่า
"
เมื่อข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษาเมื่อเดือนมกราคม
2512
ได้พบว่าการดำเนินงานของวิทยาลัยวิชาการศึกษาไม่มีความคล่องตัวเป็นอันมาก
จึงได้ร่างพ.ร.บ.
ยกฐานะวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยเสนอต่อประธานสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2512 และรอรับฟังพิจารณาอยู่ 1
ปีเต็ม จนถึงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2512 จึงได้เสนอร่าง
พ.ร.บ. นี้ต่อประธานสภาวิทยาลัยวิชาการอีกครั้งหนึ่ง
และเสนอให้เลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาอีกทางหนึ่ง

อาจจะเป็นเพราะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็น วิทยาลัย
ในความหมายของความเข้าใจของบุคคลทั่วไปว่า
ไม่ใช่สถานศึกษาชั้นปริญญาในระดับมหาวิทยาลัย
ดังที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาได้ดำเนินงานอยู่จริง
จึงเห็นสมควรที่จะออกเอกสารฉบับนี้
เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่บุคคลที่สนใจในการศึกษาขั้น
มหาวิทยาลัย
(ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.2541:270.)
โดยได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อไปตามลำดับ
โดยเป็นการดำเนินการโดยวิธีการที่ถูกต้องตามขั้นตอนระเบียบแบบแผนของทางราชการ
เริ่มตั้งแต่สภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
สภาการศึกษา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
จากนั้นเรื่องได้ติดชะงักไปในช่วงหนึ่ง
อันเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่ไม่เอื้อในเวลานั้น
การดำเนินการจึงได้มายุติโดยการยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นกรมหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ
ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 จากการที่วิทยาลัยโดยความร่วมมือทั้งอาจารย์และนิสิตได้พยายามดำเนินการมาตามลำดับอย่างสม่ำเสมอและด้วยความจริงจัง
กระทั่งในวันที่ 16 มกราคม 2517
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย
และได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ
กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
พ.ศ. 2517 ขึ้นมา
ชื่อมหาวิทยาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้เป็นมงคลนามและพระราชทานความหมายว่า
" มหาวิทยาลัยที่เจริญเป็นศรีสง่าแก่มหานคร " โดย ' วิโรฒ
' มาจาก ' วิรูฒ '(ภาษาสันสกฤต) ' วิรุฬห์ ' (ภาษาบาลี)
ซึ่งแปลว่า " เจริญ , งอกงาม "
ซึ่งก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยนั้น
ทางวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้ดำเนินการมาตามขั้นตอนและลำดับ
โดยได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2512
และเป็นการดำเนินการโดยวิธีการที่ถูกต้องตามขั้นตอนระเบียบแบบแผนของทางราชการ
เริ่มตั้งแต่สภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ ,
สภาการศึกษา , สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ,
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
จากนั้นเรื่องได้ติดชะงักไปในช่วงหนึ่ง
อันเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่ไม่เอื้อในเวลานั้น
การดำเนินการจึงได้มายุติโดยการยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นกรมหนึ่งของ
กระทรวงศึกษาธิการ ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216
ลงวันที่ 29 กันยายน 2515
ภายหลังทางวิทยาลัยโดยความร่วมมือทั้งอาจารย์และนิสิต
ได้พยายามดำเนินการมาตามลำดับ
ทั้งนี้โดยตระหนักจากการพิจารณาองค์
ประกอบความพร้อมในด้านต่างๆของวิทยาลัยและประโยชน์อันจะเกิดขึ้นต่อ
วิทยาลัยและในวงกว้างทางการศึกษาและประเทศชาติต่อไป
ทางวิทยาลัย
จึงได้มีการชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้ดังนี้
- วิทยาลัยวิชาการศึกษามีความพร้อมโดยสมบูรณ์ที่จะเติบโต
เป็นมหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ทางวิทยาลัยมีความพร้อมของอุปกรณ์ประกอบการสอน
อาจารย์
และอาคารสถานที่เพียงพอที่จะเปิดสอนสาขาอื่นๆได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น
- ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาลัยวิชาการศึกษา
- ความคล่องตัวในการบริหารงาน
- ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการความหลากหลายทางการศึกษาที่
จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง
- ในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการแก้ไขพระราชบัญญัติและยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย
จากการดำเนินการมาตามลำดับอย่างสม่ำเสมอและด้วยความจริงจัง
กระทั่งในวันที่ 16 มกราคม 2517
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกฐานะ
วิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย
และได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ
กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517
ดังกล่าวมาข้างต้น
หลังจากที่ได้ยกฐานะแล้ว
ทางมหาวิทยาลัยฯได้นำวิธีสอบคัดเลือกนิสิต เข้าศึกษาใน 2
ระดับ คือชั้นปีที่ 1 และ 3
ซึ่งในปีการศึกษานี้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาสารคามยังคงรับนิสิตภาคปกติที่จบป.กศ.
สูงเข้าศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยวิธีการสอบคัดเลือกเหมือนเดิม
แต่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่
คือได้เปิดรับสมัครสอบนิสิตชั้นปีที่ 1
เข้าเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปีเป็นปีแรกโดยใช้
วิธีการสอบผ่านทบวงมหาวิทยาลัย โดยรับทั้งสิ้น 63 คน
สำหรับวิชาเอกที่เปิดในปีการศึกษา 2517 มีดังนี้ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ , ฟิสิกส์ , เคมี , ภูมิศาสตร์
,คณิตศาสตร์ , ภาษาไทย , สังคมศึกษา ,ภาษาอังกฤษ ,
ชีววิทยา ,
และการประถมศึกษาซึ่งได้ใช้วิธีการสอบแข่งขันในการคัดเลือกผู้มาเรียนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังได้ยกฐานะหน่วยงานสำคัญขึ้นมา 2 หน่วย
งานใน ปีพ.ศ. 2529 พร้อมกับ ' คณะเทคโนโลยี ' คือ
'สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน '
ตามประกาศทบวงมหาวิทยาลัยในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่ม
103 ตอนที่ 198 หน้า 9 -10 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2529 '
สำนักวิทยบริการ ' ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ
หน้า 36 - 42 เล่มที่ 103 ตอนที่ 139 ลงวันที่ 7 สิงหาคม
2529 และ ' สถาบันวิจัยรุกขเวช '
ตามประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 กันยายน
2536
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยได้มีพัฒนาการมาตามลำดับโดยอาศัยเงื่อนไขของเวลาในการสร้างความพร้อมต่างๆ
กระทั่งสามารถดำเนินการแยกเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศสำเร็จภายใต้ชื่อ
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2537
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย
ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 111 ตอนที่
54 ก นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของประเทศไทย
สำหรับแนวคิดในการแยกตัวเป็นเอกเทศนั้นได้เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.
2527 โดย ดร.ถวิล
ลดาวัลย์รองอธิการบดีเวลานั้นได้มีแนวความคิดที่จะรวมสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาหลักๆของจังหวัดมหาสารคามเข้าเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกัน
แต่แนวคิดดังกล่าวได้ติดขัดปัญหาบางประการจึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้
เช่น ปัญหาของต้นสังกัดเดิมของแต่ละสถาบัน เป็นต้น
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2531 รองศาสตราจารย์ ดร. วีระ
บุญยกาญจนะเป็นรองอธิการบดีจึงได้มีการเสนอให้แยกออกจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒอีกครั้ง
โดยให้ลักษณะเป็นสถาบันในนามของสถาบันบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท
แต่ให้มีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัย
หากแต่ไม่อาจดำเนินต่อไปให้สัมฤทธิ์ผลได้เช่นกัน
กระทั่งในปี พ.ศ. 2535 เมื่อรองศาสตราจารย์ ดร. จรูญ
คูณมีเป็นรองอธิการบดี
จึงได้มีสืบสานแนวคิดที่จะแยกตัวออกอีกครั้ง
และเริ่มปรากฏผลชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ประกอบกับในช่วงเวลานั้น นายสุเทพ อัตถากร
ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ซึ่งโดยส่วนตัวท่านเองได้ให้สนใจและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในการสนับสนุนแนวคิดที่จะให้มีมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นในจังหวัดมหาสารคาม
การดำเนินงานจึงได้เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหาสารคามและคณะกรรมการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535
จากนั้นจึงได้ดำเนินงานมาตามขั้นตอนจนสามารถยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้สำเร็จดังที่กล่าวข้างต้นในช่วงรองศาสตราจารย์
ดร. บุญชม ศรีสะอาด เป็นรองอธิการบดี
ซึ่งได้สืบสานแนวคิดและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยได้รับความร่วมมืออย่างมุ่งมั่นและจริงจังจากทุกท่านทุกฝ่าย
ทั้งบุคคลภายในและภายนอกในสายงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นอันมาก ในระหว่างที่มีการดำเนินการเพื่อยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศนั้นได้มีการทบทวนเรื่องชื่อของมหาวิทยาลัยเพื่อหาความเหมาะสมและเห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย
โดยการดำเนินการสำรวจประชามติให้เป็นเอกฉันท์
ซึ่งชื่อที่เสนอในครั้งนั้นมีความหลากหลายของที่มาและแนวคิด
ตั้งแต่ชื่อมหาวิทยาลัยอีสาน มหาวิทยาลัยภัทรินธร
มหาวิทยาลัยศรีเจริญราชเดช มหาวิทยาลัยศรีมหาชัย
มหาวิทยาลัยศรีมหาสารคาม
จนกระทั่งได้มาเห็นชอบพร้อมกันต่อชื่อ
มหาวิทยาลัยมหาสารคามในเบื้องท้ายดังปรากฏในปัจจุบัน
ภายหลังได้มีการขยายพื้นที่มายัง "ป่าโคกหนองไผ่"
ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
บนเนื้อที่ประมาณ 1,300 ขณะนั้นของรองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิช
ทองโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามคนแรก (พ.ศ.
2538-2546) และได้ดำเนินการสร้างอาคารต่างๆตั้งแต่ปี พ.ศ.
2539 ภายหลังจึงได้ย้ายศูนย์กลางบริหารงานมา ณ
ที่ทำการแห่งใหม่ในปีการศึกษา 2542
อีกทั้งยังได้มีการเปิดสาขาวิชาและคณะใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
เพื่อเปิดบริการทางการศึกษาให้มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้เปิดสอนหลักสูตรและสาขาวิชาต่างๆ
ซึ่งประกอบไปด้วย คณะศึกษาศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ คณะเทคโนโลยี คณะการบัญชีและการจัดการ
คณะเภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ
คณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์- ผังเมือง-นฤมิตศิลป์
และโครงการจัดตั้งคณะใหม่อีกทะยอยเปิดในแต่ละปีการศึกษา
คือ โครงการจัดตั้งคณะวิทยาการสารสนเทศ
โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร์
คณะการโรงแรมและการท่องเที่ยว และ คณะแพทย์ศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังได้เปิดสอนระดับประถมและมัธยมศึกษาใน
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยเปิดสอนในปีการศึกษา
2540
เป็นปีการศึกษาแรกและยังได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรี
ปริญญาโทไปยังวิทยาเขตนครพนมและศูนย์พัฒนาการศึกษาอุดรธานี
โดยใช้สอน ระบบทางไกลผ่านดาวเทียม
ในเวลานี้ทางมหาวิทยาลัยยังได้มีโครงการที่กำลังดำเนินการและจะดำเนินการอีกมาก
ทั้งนี้เพื่อผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนท้องถิ่น
ภูมิภาค ประเทศชาติและองค์รวมเบื้องปลายต่อไป
ทำเนียบรองอธิการ รองอธิการบดี
และอธิการบดี (2511-ปัจจุบัน)
รองอธิการ วิทยาลัยวิชาการศึกษา
วิทยาเขตมหาสารคาม
ดร.สายหยุด จำปาทอง พ.ศ.
2511 - 2512
รองศาสตราจารย์ ดร. บุญชม ไชยโกษี พ.ศ.
2512 - 2516
รองศาสตราจารย์ ดร.ทรงศักดิ์ ศรีกาฬสินธุ์
พ.ศ. 2516 2517
รองอธิการบดี มหาวิทยาลันศรีนครินทรวิโรฒ
วิทยาเขตมหาสารคาม
รองศาสตราจารย์ ดร.ทรงศักดิ์ ศรีกาฬสินธุ์ พ.ศ. 2517
2518 รองศาสตราจารย์ ชูเกียรติ มณีธร พ.ศ.2518
(รักษาการ) ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐ
พ.ศ.2519 รองศาสตราจารย์ ดร. ชาตรี เมืองนาโพธิ์ พ.ศ.
2519-2524 รองศาสตราจารย์ ดร. วีระ บุญยกาญจน พ.ศ. 2524
- 2526 และ พ.ศ. 2530-2534 ดร. ถวิล ลดาวัลย์ พ.ศ. 2526
- 2530 รองศาสตราจารย์ ดร. จรูญ คูณมี พ.ศ. 2534 -
2536 รองศาสตราจารย์ ดร.บุญชม ศรีสะอาด พ.ศ. 2537
อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
รองศาสตราจารย์ ดร.บุญชม ศรีสะอาด พ.ศ. 2538 (ผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี)
รองศาสตราจารย์ ดร. ภาวิช ทองโรจน์ พ.ศ. 2538
2546 ศาสตราจารย์ นพ.อดุลย์ วิริยเวชกุล พ.ศ.
2546-2551 ศาสตราจารย์เกียติคุณ ทันตแพทย์ สมศักดิ์
จักรไพวงศ์ พ.ศ. 2551
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย
สมัปปิโต พ.ศ. 2552 - 2558 ศาสตราจารย์ ดร. สัมพันธ์ ฤทธิเดช พ.ศ. 2559 - 2562 รองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรีวิไล พ.ศ. 2562-ปัจจุบัน
(ข้อมูลปรับปรุงจาก :
พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)
|